วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

ขั้นตอนการทำโครงงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่น

ขั้นตอนการทำโครงงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่น






ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ของตนเองครูผู้สอนสามารถดำเนินการจัดกิจกรรม  ดังนี้
             1.   การหาหัวข้อโครงงาน  กำหนดขอบข่ายของหัวข้อโครงงานตามที่นักเรียนมีความสนใจในเนื้อหาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จากนั้นภายในกลุ่มร่วมกันสรุป  อภิปราย ให้เหตุผลเกี่ยวกับหัวข้อโครงงาน            2.  การเลือกหัวเรื่องที่จะทำโครงงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่น นักเรียนจะต้องเลือกหัวเรื่องที่จะทำโครงงานภายใต้เงื่อนไข  ดังต่อไปนี้
 1)  ต้องเป็นเรื่องที่นักเรียนมีความสนใจจริงๆ ในขอบข่ายประวัติศาสตร์สังคม,การเมือง,เศรษฐกิจ,ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นในชุมชนของตนเอง
2)  ในการพิจารณาเลือกหัวเรื่องที่จะทำโครงงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่น  นักเรียนต้องพิจารณาข้อมูลเพื่อตัดสินใจเลือกหัวเรื่องจากแบบฟอร์มการวิเคราะห์โครงงานที่กำหนดให้
 3)  วางแผนทำโครงงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่น   เป็นขั้นตอนที่นักเรียนจะต้องคิดและวางแผนการทำโครงงานทำโครงงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอย่างคร่าวๆไว้ล่วงหน้าเป็นลำดับขั้นตอน  นักเรียนจะต้องพิจารณาจากการตอบคำถามที่ว่า   จะทำอะไร (What) ทำไมจึงต้องทำ (Why) ใครบ้างเป็นผู้กระทำ (Who) จะกระทำเมื่อใด (When) จะทำกันที่ไหนบ้าง (Where) และสนใจจะทำกันอย่างไร (How)  เป็นแนวทางในการเขียนแบบเสนอโครงงาน  และนักเรียนต้องแนบใบแสดงความเห็น/คำแนะนำของครูผู้สอนหลังจากตรวจโครงงานที่เสนอด้วย4)   การลงมือปฏิบัติโครงงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่น   เป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่องจากการวางแผนโดยในขั้นตอนนี้เป็นการลงมือปฏิบัติจริงตามที่วางแผนเอาไว้  โดยให้นักเรียนดำเนินการตามขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์ ดังนี้
            1.  การกำหนดเป้าหมายในการค้นคว้า เป็นการตั้งเป้าหมายเรื่องที่จะศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในเรื่องอะไรเช่น จะศึกษาความคิดความเชื่อของชาวบ้านกับสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ  การศึกษาอดีตของชุมชนที่เราอาศัยอยู่ การศึกษาประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านตนเอง
           2.  การรวบรวมข้อมูลหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อโครงงานทั้งหลักฐานชั้นต้นและหลักฐานชั้นรอง(จากการลงไปศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ  ในพื้นที่ ที่แต่ละกลุ่มกำหนดไว้ในท้องถิ่น  ทั้งที่ได้จากการสอบถาม สัมภาษณ์ การบอกเล่าจากผู้รู้ในท้องถิ่น รวมทั้งการสืบค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต)ซึ่งนักเรียนแต่ละกลุ่มจะต้องบันทึกกิจกรรมที่ทำในปฏิทินโครงงานทุกครั้งแล้วนำกลับมาให้ครูที่ปรึกษาดูความคืบหน้า                                                
          3.  ประเมินคุณค่าสร้างสรรค์ความรู้จากข้อมูลหรือหลักฐาน  เป็นทักษะที่ต่อเนื่องจากการรวบรวมข้อมูลเป็นการให้นักเรียนพิจารณาว่าหลักฐานที่นักเรียนค้นหารวบรวมมานั้นเป็นหลักฐานแบบใดมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด โดยนำมาเรียบเรียงหรือจัดเข้าชุดเดียวกัน  ทั้งนี้เป็นผลงานมาจากประเด็นคำถามหรือหัวเรื่องของโครงงาน  ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่นักเรียนกำหนดไว้ในแบบเสนอโครงร่างโครงงาน
       4.  ตีความเชื่อมโยงความสัมพันธ์ข้อมูลหรือหลักฐานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นการพิจารณาว่าหลักฐานนั้นให้ข้อมูลสารสนเทศอะไรบ้างมีความน่าเชื่อถือหรือไม่                       
      5.  วิเคราะห์สังเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำเสนอเรื่องที่ศึกษา โดยนักเรียนจะต้องนำข้อมูลทั้งหมดที่นักเรียมาเชื่อมโยงพิจารณาจากการเปรียบเทียบ  สรุปแล้วเลือกคำตอบหรือทางเลือกที่ดีที่สุด  แล้วหาจุดร่วมจุดต่างของข้อมูล  เขียนเป็นแนวทางของตนเองที่เกิดการเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและสังคม  ตามมุมมองความคิด  การตัดสินใจ นำเสนอเรื่องที่ศึกษาและอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผล โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายมีความต่อเนื่องและน่าสนใจตลอดจนมีการอ้างอิงข้อเท็จจริงเพื่อให้ได้งานทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่มีคุณค่าและมีความหมาย ซึ่งในขั้นตอนนี้ให้นักเรียนภายในกลุ่มแลกเปลี่ยนมุมมองที่หลากหลายของแต่ละคน
   6.   การเขียนรายงานโครงงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่นนักเรียนนำผลการศึกษาของกลุ่มตนเองซึ่งการเขียนรายงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจะต้องให้เห็นความสัมพันธ์ของเห็น “ คน ” ที่มีความสัมพันธ์กับ ธรรมชาติ สิ่งเหนือธรรมชาติ การปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาในแต่ละเรื่องที่ศึกษาของแต่ละกลุ่มโดยการอธิบาย อย่างไร ทำไม 
          7.  การประเมิน   เป็นการตรวจสอบทบทวนข้อค้นพบ  ประเด็นคำตอบ  โดยเฉพาะการตอบคำถามและวัตถุประสงค์ของโครงงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่น  รวมถึงการตัดสินใจ  เพื่อประเมินว่าข้อมูลความรู้ที่ค้นพบนั้นเหมาะสมเป็นประโยชน์มากน้อยเพียงใด  โดยแต่ละกลุ่มนำเสนอภายในกลุ่มและมีการประเมินผลงานภายในกลุ่มด้วย และร่วมกันสรุป
           8. การนำเสนอผลงาน   เป็นการนำเสนอข้อมูล รายงานข้อค้นพบหรือแสดงผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยตนเองถือได้ว่าสำคัญมาก    โดยนักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอหน้าชั้นเรียน ในรูปแบบนำเสนอของแต่ละกลุ่มตามที่วางแผนไว้เช่น เพาเวอร์พอยด์/แผ่นพับ/เว็บไซต์ สารคดี หนังสั้น 

หลักฐานชั้นรอง

หลักฐานชั้นรอง



หลักฐานชั้นรอง

หลักฐานชั้นรองหรือหลักฐานทุติยภูมิ (Secondary sources) หมายถึง หลักฐานที่เกิดจากการนำหลักฐานชั้นต้นมาวิเคราะห์ ตีความเมื่อเวลาผ่านพ้นไปแล้ว ได้แก่ ตำนาน พงศาวดาร
นักประวัติศาสตร์บางท่านยังได้แบ่งหลักฐานประวัติศาสตร์ออกไปอีกเป็น หลักฐานชั้นที่สามหรือตติยภูมิ (Tertiary sources) หมายถึง หลักฐานที่เขียนหรือรวบรวมขึ้น จากหลักฐานปฐมภูมิและทุติยภูมิ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาอ้างอิง เช่น สารานุกรม หนังสือแบบเรียน และบทความทางประวัติศาสตร์ต่างๆ

ความป็นมาของอาณาจักรสุโขทัย

ความป็นมาของอาณาจักรสุโขทัย



ความเป็นมาของอาณาจักรสุโขทัย
                อาณาจักรสุโขทัย เกิดจากความรักชาติ ความเสียสละ และความสามารถของบรรพบุรุษไทย ในตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ได้มีพัฒนาการที่เป็นปึกแผ่นมั่นคง มีความเจริญก้าวหน้า   ด้านการเมืองการปกครอง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านศิลปวัฒนธรรม จากผลงานและความสามารถของบรรพบุรุษไทยเป็นผู้สร้างมรดกทางวัฒนธรรม และเป็นรากฐานของการพัฒนาชาติบ้านเมืองสืบทอดมาเป็นลำดับ
                การสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย 
อาณาจักรสุโขทัย นับเป็นอาณาจักรของคนไทยที่ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นราชธานีใน
ปี พ.ศ. 1762 ก่อนหน้าที่จะมีการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้นมา ได้มีเมืองสุโขทัยที่มีความเก่าแก่ เจริญรุ่งเรืองมาก่อน ผลจากการตีความในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 2 ระบุว่าเดิมเมืองสุโขทัยมี      ผู้นำคนไทยชื่อพ่อขุนศรีนาวนำถุม เป็นเจ้าเมืองปกครองอยู่ ภายหลังเมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถุมสิ้นพระชนม์แล้ว ขอมสมาดโขลญลำพง* เป็นนายทหารขอมที่เป็นใหญ่ ได้นำกำลังทหารเข้ายึดเมืองสุโขทัยไว้ได้ ทางฝ่ายไทยได้มีการเตรียมการเพื่อยึดเมืองสุโขทัยกลับคืนจาก                     ขอมสมาดโขลญลำพง โดยมีผู้นำไทย 2 คน ได้แก่ พ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง และ          พ่อขุนผาเมือง  เจ้าเมืองราด พ่อขุนทั้งสอง เป็นสหายสนิทกัน และมีความสัมพันธ์กันทางเครือญาติ ร่วมกันนำกำลังเข้าชิงเมืองสุโขทัยกลับคืนมา เมื่อยึดเมืองสุโขทัยจากขอมได้เรียบร้อยแล้ว             พ่อขุนผาเมืองได้ยกทัพออกจากเมืองสุโขทัย เพื่อให้กองทัพของพ่อขุนบางกลางหาวเข้าสู่เมืองสุโขทัย พร้อมกันนั้น พ่อขุนผาเมืองทรงสถาปนาพ่อขุนบางกลางหาวขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมืองสุโขทัย แล้วถวายพระนามของพระองค์ที่ได้รับจากกษัตริย์ขอม คือ ศรีอินทรบดินทราทิตย์          ให้เป็นเกียรติแก่พ่อขุนบางกลางหาว พร้อมทั้งมอบพระขรรค์ไชยศรี แต่พ่อขุนบางกลางหาว      ทรงใช้พระนามใหม่ว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์  ซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วง
ของอาณาจักรสุโขทัย  นับตั้งแต่พ.ศ. 1762 เป็นต้นมา อาณาจักรสุโขทัยได้กลายเป็นศูนย์กลางที่มี      อาณาเขตกว้างขวางมีหัวเมืองต่าง ๆ ที่คนไทยรวมตัวกันอยู่เป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรที่ตั้งขึ้นใหม่
ปัจจัยที่เอื้อต่อการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย 
1. ขอมเสื่อมอำนาจลง หลังจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (ครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 1724-1761) สิ้นพระชนม์ พระเจ้าอินทรวรมันที่ 2 ปกครองต่อมาอ่อนแอ ขาดความเข้มแข็ง จึงเกิดช่องว่างของอำนาจทางการเมืองขึ้นในดินแดนแถบนี้ เปิดโอกาสให้บรรดาหัวเมืองต่างๆเติบโต และตั้งตนเป็นอิสระ
2. ความสามารถของผู้นำและความสามัคคีของคนไทย ได้แก่ พ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราดและพ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง ได้ร่วมกันผนึกกำลังต่อสู้นายทหารขอม จนได้รับชัยชนะ สามารถประกาศตนเป็นอิสระจากอิทธิพลของขอม
                พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัย และมีพระมหากษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมา 9 พระองค์ ดังนี้
รายพระนามพระมหากษัตริย์ของอาณาจักรสุโขทัยหรือราชวงศ์พระร่วง 
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ  ณ นคร ได้สรุปจำนวนกษัตริย์และปีที่ครองราชสมบัติไว้ ดังนี้

ลำดับที่
รายพระนาม /
ปีที่ครองราชสมบัติ
เหตุการณ์สำคัญ / พระราชกรณียกิจ
1.
พ่อขุน
ศรีอินทราทิตย์
(พ.ศ. 1762 – 1781)
1. พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วง เมื่อครั้งพระองค์ทรงสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์บ้านเมืองยังไม่สงบ ขุนสามชน
เจ้าเมืองฉอดยกทัพมาตีเมืองตาก หากขุนสามชนยึดเมืองตากไว้ได้ก็อาจจะยกทัพผ่านมายังเมืองศรีสัชนาลัย และสุโขทัยตามลำดับ  พ่อขุน
ศรีอินทราทิตย์ทราบว่ามีกองทัพโจมตีเมืองตาก  จึงได้ยกทัพมาจากเมืองสุโขทัยพร้อมด้วยพระราม พระโอรสองค์ที่ 2 ทรงชนช้างกับขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดจนได้รับชัยชนะ
2. อาณาจักรสุโขทัยได้รับพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์มาจากเมืองนครศรีธรรมราชตั้งแต่สมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ โดยพระองค์ทรง
ผูกมิตรไมตรีกับ   พระเจ้าสิริธรรม แห่งเมืองนครศรีธรรมราช โดยแต่งทูตไปลังกา พร้อมกับทูตของเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อติดต่อ
ขอพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานไว้ที่อาณาจักรสุโขทัย
2.
พ่อขุนบานเมือง
(พ.ศ.1822 - 1842)
พ่อขุนบานเมืองทรงเป็นราชโอรสองค์โตของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ขึ้นครองราชย์ต่อจากพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ในสมัยที่พระราชบิดาทรง       ครองราชสมบัติ พระองค์คงจะได้เคยเป็นพระมหาอุปราชหรือได้รับมอบหมายให้ปกครองบ้านเมืองระหว่างที่มีสงครามและในสมัยที่พ่อขุนบานเมืองทรงครองราชสมบัติได้มีการปราบปรามหัวเมืองบางแห่ง

3.
พ่อขุนรามคำแหง
ปีที่พ่อขุนรามคำแหงขึ้นครองราชย์ เดิมสมเด็จฯ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สันนิษฐานว่าประมาณพ.ศ. 1820 แต่จากการสัมมนาประวัติศาสตร์สุโขทัยวิเคราะห์กันแล้วว่าน่าจะเป็น พ.ศ. 1822
* ในที่นี้ขอใช้คำว่า
พ่อขุนรามคำแหง ซึ่งชื่อเดิมของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช คือ         พ่อขุนราม แต่เมื่อครั้งพระองค์อาสาพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
พระราชบิดา ออกรบชนช้างกับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด เมื่อได้รับชัยชนะ  พ่อขุน
ศรีอินทราทิตย์จึงสถาปนาเป็นพ่อขุนรามคำแหง

1. พ่อขุนรามคำแหง ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 2 ในพ่อขุน
ศรีอินทราทิตย์ และพระนางเสือง ทรงพระราชสมภพ เมื่อประมาณ
ปี พ.ศ. 1800 มีพระนามเดิมว่าพระร่วง มีความหมายว่า รุ่งโรจน์ 
2. ขณะที่พ่อขุนรามคำแหง มีพระชนมายุ 19 พรรษา พระองค์ทรงตามเสด็จพ่อขุนศรีอินทราทิตย์พระราชบิดาไปในการทำศึกสงครามกับ
ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด  ซึ่งยกทัพเข้ามาตีเมืองตาก โดยพ่อขุนรามคำแหงทรงแสดงพระปรีชาสามารถโดยไสช้างพระที่นั่งของพระองค์เข้าช่วยพระราชบิดาจนได้รับชัยชนะ ด้วยความกล้าหาญของพระองค์ พระราชบิดาได้พระราชทานนามให้พระองค์ว่า รามคำแหงหมายถึง
ผู้กล้าหาญ
3. ทรงประดิษฐ์อักษรไทย การประดิษฐ์อักษรไทยนับเป็นมรดกวัฒนธรรมอันล้ำค่าของอาณาจักรสุโขทัย โดยพ่อขุนรามคำแหง ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น เมื่อ พ.ศ. 1826 สันนิษฐานว่าดัดแปลงมาจากตัวอักษรขอมและมอญ และพระองค์ทรงจารึกตัวอักษรลงในหลักศิลาจารึกที่เป็นเรื่องราวเหตุการณ์ในรัชกาลของพระองค์และสังคมสุโขทัย
4. ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ชนชาติไทยเรืองอำนาจเหนือดินแดนในสุพรรณภูมิ อีกทั้งยังมีอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาล
ดังปรากฏในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงหลักที่ 1 ดังนี้
  • ทิศเหนือ มีขอบเขตไปถึงเมืองแพร่, เมืองน่าน, เมืองพลัว (.........), เมืองชวา (ปัจจุบันคือ เมืองหลวงพระบาง)
  • ทิศใต้ มีขอบเขตไปถึง เมืองคณฑี (จังหวัดกำแพงเพชร),
    เมืองพระบาง (จังหวัดนครสวรรค์), เมืองแพรก (จังหวัดชัยนาท),
    เมืองนครศรีธรรมราช, เมืองสุพรรณภูมิ (จังหวัดสุพรรณบุรี)  จนจดฝั่งทะเล
  • ทิศตะวันออก มีขอบเขตไปถึงเมืองสระหลวง (จังหวัดพิจิตร), เมืองสองแคว (จังหวัดพิษณุโลก) , เมืองลุมบาจาย (จังหวัดเพชรบูรณ์), เมืองสคา (........) ถึงเมืองเวียงจันทน์ และเมืองเวียงคำ
  • ทิศตะวันตก มีขอบเขตไปถึงเมืองฉอด, เมืองหงสาวดี
    จนสุดชายฝั่งทะเล

4.
พญาเลอไท
พญาเลอไท   ทรงได้ดำเนินนโยบายในการพยายามรวบรวมอาณาเขตตลอดชั่วระยะเวลา 18 ปีที่พระองค์ ทรงครองราชสมบัติ
5.
พญางั่วนำถุม
ในสมัยของพญางั่วนำถุมครองราชสมบัติ เป็นช่วงระยะเวลาที่อาณาจักรสุโขทัยอยู่ในฐานะที่คลอนแคลน มีความแตกแยกระหว่างเจ้านายในพระราชวงศ์ออกเป็นหลายฝ่าย เมื่อพญางั่วนำถุมสวรรคต  ก็มีการแย่งชิง
ราชสมบัติเกิดขึ้นที่เมืองสุโขทัย  พญาลิไทซึ่งครองเมืองศรีสัชนาลัย
ต้องยกทัพเข้ามาปราบปรามและปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์
6.
พระมหาธรรมราชา
ที่ 1
(พญาลิไท)
(ขึ้นครองราชย์สมบัติ
ปี พ.ศ. 1890)
พระมหาธรรมราชาที่ 1 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 6
แห่งอาณาจักรสุโขทัยทรงเป็นพระราชโอรสของพญาเลอไท  ทรงขึ้นครองราชสมบัติโดยการปราบดาภิเษกจากความพยายามของพระองค์ภายหลังการขึ้นครองราชสมบัติแล้ว พระองค์ทรงมีความมุ่งมั่นที่จะรวบรวมเมืองต่าง ๆ ที่แตกแยกให้เข้ามารวมกันอีกเหมือนครั้งในสมัยของพ่อขุนรามคำแหงและทรงเสด็จไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อเผยแผ่และกระทำกิจทางศาสนา  ตลอดจนสร้างสัมพันธไมตรีอันดีกับเมืองเชียงใหม่  โดยทรงมีพระราชานุญาตให้พระสมณะเถระไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่เชียงใหม่ ตามที่พระเจ้ากือนาแห่งเชียงใหม่ทรงขอมา
7.
พระมหาธรรมราชา
ที่ 2
ครองราชสมบัติถึงประมาณ
ปี พ.ศ. 1942
พระมหาธรรมราชาที่ 2 ทรงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติต่อจาก
พระมหาธรรมราชาที่ 1 ในขณะนั้นอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพระงั่ว) ได้ขยายอำนาจมายังอาณาจักรสุโขทัย โดยเริ่มตีและยึดเมืองเหนือได้หลายเมือง  แต่พระมหาธรรมราชาที่ 2 ได้ป้องกันเมืองเป็นสามารถ แต่เมื่อเห็นว่าจะสู้รบต่อไปไม่ไหวจึงถวายบังคม  ขุนหลวงพระงั่ว  โปรดให้พระมหาธรรมราชาที่  2 ครองอาณาจักรสุโขทัยต่อไปในฐานะ  ประเทศราชของอาณาจักรอยุธยา จนถึงปี พ.ศ. 1931 อาณาจักรสุโขทัยได้แข็งเมืองไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในปี พ.ศ. 1931  ขุนหลวงพระงั่ว จึงยกทัพไป
ตีชากังราว  แต่พระองค์ได้เสด็จสวรรคตกลางทาง

8
พระมหาธรรมราชา
ที่ 3
(พญาไสยลือไท)
(ขึ้นครองราชสมบัติในปี พ.ศ.1931)
พระมหาธรรมราชาที่ 3 ทรงเป็นโอรสของพระมหาธรรมราชาที่ 2 พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีฝีมือเข้มแข็ง สามารถแผ่ขยายอาณาเขต  เพื่อกู้เสถียรภาพทางการเมืองของอาณาจักรสุโขทัยให้ฟื้นตัวขึ้นมาอีก โดยยกทัพไปปราบยังเมืองต่าง ๆ ให้อยู่ในอำนาจ
9
พระมหาธรรมราชา
ที่ 4
(พระบรมปาล)
(ขึ้นครองราชสมบัติ
ในปี พ.ศ. 1962)
ในสมัยของพระมหาธรรมราชาที่  4  อาณาจักรสุโขทัยตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง พระมหาธรรมราชาที่ 4 ทรงครอง
ราชสมบัติได้ 19 ปี  ก็สวรรคตเชื้อสายพระร่วงเกิดแย่งชิงราชสมบัติกันสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) แห่งอาณาจักรอยุธยา โปรดให้พระราเมศวรพระราชโอรสขึ้นไปครองพิษณุโลก นับตั้งแต่นั้นมาสุโขทัยจึงถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา

ความเป็นมาของชนชาติไทย

ความเป็นมาของชนชาติไทย


ประวัติความเป็นมาของชนชาติไทย 
                การศึกษาเรื่องถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย ได้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีเศษมาแล้ว โดยนักวิชาการชาวตะวันตก ต่อมาได้มีนักวิชาการสาขาต่างๆ ทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศได้ศึกษาค้นคว้าต่อมาเป็นลำดับจนถึงปัจจุบัน การศึกษาค้นคว้าได้อาศัยหลักฐานต่างๆ เช่น โครงกระดูกมนุษย์ เครื่องมือเครื่องใช้ เอกสารโบราณจีน หลักฐานทางภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่น ผลจากการค้นคว้าปรากฏว่านักวิชาการและผู้สนใจเรื่องถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยต่างเสนอแนวคิดไว้หลายอย่าง แต่ยังไม่มีแนวคิดใดเป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบัน ในระยะแรกๆ นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่ในดินแดนประเทศจีน ต่อมาได้อพยพย้ายถิ่นกระจายออกไป และได้เสนอแนวความคิดเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย ดังนี้
แนวคิดที่ 1  เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีนแถบเทือกเขาอัลไต
แนวคิด
ผู้เสนอแนวคิด
ถิ่นฐานเดิมและการอพยพ
หลักฐานที่ใช้ในการศึกษา
ถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีน  บริเวณเทือกเขา
อัลไต
1. ดร.วิลเลียม
คลิฟตัน  ดอดด์ : Dr.william  Clifton  Dodd  มิชชันนารี  ชาวอเมริกันได้เข้ามายังเมืองไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้วได้เดินทางไปยังประเทศจีน
เชื่อกันว่าพวกมุงเป็นบรรพบุรุษของไทยมีเชื้อสายมองโกล  เป็นชาติที่เก่าแกกว่าชาวฮีบรู  และจีน  เป็นเจ้าของถิ่นเดิมของจีนมาก่อนตั้งแต่ประมาณปีที่  1657  ก่อนพุทธศักราช  ต่อมาได้อพยพจากบริเวณเทือกเขาอัลไต มายังด้านตะวันตกของจีน  แล้วถอยร่นลงมายังบริเวณตอนกลางของจีนมาสู่ตอนใต้ของจีนจนในที่สุดได้มีคนไทยอพยพสู่คาบสมุทรอินโดจีนได้เขียนหนังสือชื่อว่า 
The Thai Race-The Elder Brother of  the Chinese  หลวงแพทย์นิติสรรค์  แปลงเป็นไทยให้ชื่อว่า “ชนชาติไทย”
แนวคิด
ผู้เสนอแนวคิด
ถิ่นฐานเดิมและการอพยพ
หลักฐานที่ใช้ในการศึกษา
2. ขุนวิจิตรมาตรา
ที่มาภาพ http://www.numtan.com/story_2/picupreply/98-2-1081679827.jpg
 98-2-1081679827
ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่บริเวณเทือกเขา อัลไต  ได้อพยพลงมาตั้งอาณาจักรนครลุงเป็นครั้งแรก  ต่อมาถูกพวกตาดมองโกลยึดครองจึงอพยพมาอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลเสฉวนตั้งอาณาจักรใหม่  ชื่อว่า “ปา”  คนไทยเรียกว่า “อ้ายลาว”  หรือ “มุง”  ต่อมานครปาเสียแก่จีน  จึงมาตั้งนครเงี้ยว  “ที่ลุ่มแม่น้ำแองซี  ถูกจีนรุนหลายครั้ง  ในที่สุดชนชาติไทยได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานในดินแดนสุวรรณภูมิ2ได้เขียนหนังสือชื่อ
“หลักไทย”
ข้อสรุปของแนวคิดที่ 1 
                แนวคิดที่ 1  ไม่เป็นที่ยอมรับของนักประวัติศาสตร์  ในปัจจุบันเนื่องจากมีอุปสรรคในการเดินทางไปตั้งถิ่นฐานของคนไทย  และไม่น่าจะอยู่ไกลถึงเทือกเขาอัลไต  ที่มีอากาศหนาวเย็นมาก  นอกจากนั้นการเดินทางลงมาทางใต้ต้องผ่านทะเลทรายโกบี  อันกว้างใหญ่ไพศาล
 
แนวคิดที่ 2  เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีนบริเวณมณฑลเสฉวน
แนวคิด
ผู้เสนอแนวคิด
ถิ่นฐานเดิมและการอพยพ
หลักฐานที่ใช้ในการศึกษา
ถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่บริเวณตอนกลางของประเทศบริเวณ
มณฑลเสฉวน
1.แตร์รีออง  เด ลา  คูเปอรี : Terrien de la Couperie ชาวฝรั่งเป็นศาสตร์ทางภาคศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน  ประเทศอังกฤษคนเชื้อชาติไทยเดิมตั้งถิ่นฐานเป็นอาณาจักรโบราณบริเวณตอนกลางของจีนแถบมณฑลเสฉวนประมาณ
ปีที่ 1765  ก่อนพุทธศักราช  จีนเรียกชนชาติไทยว่า “มุง”  หรือ “ต้ามุง”
ได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับชนชาติไทย  โดยอาศัยหลักฐานบันทึกของจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ได้เสนอแนวคิดไว้ในงานเขียน  2  ชิ้น  คือ
1. The Cradle of The Siam 
Race
2. The Languages of 
China  Before The
Chinese
d44_adj2. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม-พระยา ดำรงราชานุ-ภาพ
ที่มาภาพwww.lib.ru.ac.th/journal/damrong.html
 

ชนชาติไทย  แต่เดิมตั้งบ้านเรื่องอยู่ระหว่างประเทศทิเบตกับจีนประมาณปี พ.ศ.500 ถูกจีนรุนราน  จึงอพยพถอยร่นมาทางตอนใต้ของจีน  และแยกย้ายเข้าไปทางทิศตะวันตกของ
ยูนนานได้แก่  สิบสองจุไทย  ล้านนา
ล้านช้างอยู่ทางตอนกลางของยูนนาน
ได้ทรงแสดงแนวทรรศนะไว้ในพระนิพนธ์  ชื่อ “แสดงบรรยายพงศาวดารสยามและลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ2
แนวคิดที่ 2  เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีนบริเวณมณฑลเสฉวน
แนวคิด
ผู้เสนอแนวคิด
ถิ่นฐานเดิมและการอพยพ
หลักฐานที่ใช้ในการศึกษา
3. หลวงวิจิตรวาท-การคนไทยเคยอยู่ในดินแดนซึ่งเป็นมณฑลเสฉวน  หูเป่ย์  อานฮุย  และเจียงซี  ในตอนกลางของประเทศจีนแล้วได้อพยพมาสู่มณฑลยูนานและแหลมอินโดจีนได้เรียบเรียงหนังสือ ชื่อว่า “งานค้นคว้าเรื่องชนชาติไทย”
4. พระบริหารเทพ-ธานีถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่บริเวณตอนกลางของประเทศจีน  แล้วถอนร่นมายังบริเวณมณฑลยูนาน และลงมาทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เสนอแนวคิดไว้ในผลงาน “พงศาวดารไทย”
ข้อสรุปของแนวคิดที่ 2 
ระยะต่อมามีนักวิชาการได้ศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง  เกี่ยวกับวัฒนธรรมทางภาษาลักษณะเผ่าพันธุ์  จากหลักฐานประเภทจดหมายเหตุจีน  กล่าวถึงผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคนไทย  ที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันมากนัก  ดังนั้นแนวคิดนี้จึงไม่เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการ
แผนที่แสดงแนวคิดถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่ในบริเวณตอนกลางของจีน
ที่มาภาพ นางพีรทิพย์   สุคันธเมศวร์
แนวคิดที่ 3  เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีนบริเวณมณฑลเสฉวน
แนวคิด
ผู้เสนอแนวคิด
ถิ่นฐานเดิมและการอพยพ
หลักฐานที่ใช้ในการศึกษา
ถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน1. อาร์ชิบัลด์  รอสส์ คอลูน : Archibald Ross Colquhoun นักสำรวจชาวอังกฤษเดินทางสำรวจ  โยเริ่มจากกวางตุ้งของจีนถึงเมืองมัณฑะเลย์  ในสหภาพพม่าและรัฐอัสสัมในสาธารณรัฐอินเดียพบกลุ่มชนชาติไทยอาศัยอยู่บริเวณตอนใต้ของจีน  มีภาษาพูดและความเป็นอยู่คล้ายคลึงกันในบริเวณที่ได้เดินทางสำรวจได้เสนอแนวคิดในบทความเรื่อง Across Chryse
2. อี.เอช.ปาร์เกอร์ : E.H.Parker  เป็นชาวอังกฤษเคยเป็นกงสุลอังกฤษประจำเกาะไหหล่ำในพุทธศตวรรษที่ 13 ชนชาติไทยได้ตั้งอาณาจักรน่าเจ้าที่มณฑลยูนนาน  ต่อมาลูกจีนรุกรานถอยร่นลงมาทางตอนใต้ของจีนได้เขียนบทความเรื่อง
The old Thai Mmpire 
ในปี พ.ศ.2437  โดยใช้ตำนานของจีนตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์
3. ศาสตราจารย์โวลแฟรม อีเบอร์ฮาร์ด :Wolfram  Eberhard
นักสังคมวิทยาและนักมานุษยวิทยาชาวเยอรมันได้ศึกษาเรื่องชนเผ่าไทยเมื่อปี พ.ศ.2491
ชนเผ่าไทยอยู่ในบริเวณมณฑลและดินแดนในอ่าวตังเกี๋ย  แล้วได้สร้างอาณาจักรเทียนที่มณฑลยูนนาน  ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์ฮั่นของจีน  ต่อมาสมัยราชวงศ์ถังของจีนชนเผ่าไทยได้สถาปนาอาณาจักรน่านเจ้า มณฑล
ยูนนาน
ได้เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือชื่อ A History of china

แนวคิด
ผู้เสนอแนวคิด
ถิ่นฐานเดิมและการอพยพ
หลักฐานที่ใช้ในการศึกษา
4. เฟรเดอริค โมตะ : Ferderick Mote นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์จีน  ได้ศึกษาเอกสารสำคัญเกี่ยวกับสมัยน่านเจ้าโบราณพวกที่ปกครองน่านเจ้าคือพวกไป๋  และพวกยี๋  คนไทยที่น่านเจ้าเป็นชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่ง  แต่มิได้อยู่ในชนชั้นปกครองได้ให้ทัศนะไว้ในบทความชื่อ Problems of  Thai  Prehistory : ปัญหาก่อนประวัติศาสตร์ไทย
5. จิตร ภูมิศักดิ์  มีผลงานศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยคนไทยอาศัยกระจัดกระจายบริเวณทางตอนใต้ของจีนและบริเวณภาคเหนือของไทย  ลาว  เขมร  พม่า และรัฐอัสสัมของอินเดียได้เสนอแนวคิดไว้ในงานเขียนชื่อ 1.ความเป็นมาของคำสยามไทย  ลาว  และขอม  2.ลักษณะทางสังคมและยึดชนชั้น
6. ขจร  สุขพานิช
นักประวัติศาสตร์ไทยที่สนใจศึกษาค้นคว้าความเป็นมาของชนชาติไทย
ถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่บริเวณทางตอนใต้ของจีนแถบมณฑลกวางตุ้งและกวางสี  ต่อมาได้อพยพลงมาทางตะวันตก  ตั้งแต่ยูนนานและลงมาทางตอนใต้ผ่านผ่านเขตสิบสองจูไทยลงมาที่ประเทศลาวได้เสนอแนวความคิดในเรื่อง “ถิ่นกำเนิดและแนวอพยพของเผ่าไทย”
7. พระยาประชากิจกรจักร
(แช่ม  บุนนาค)
ถิ่นกำเนิดเดิมของชนชาติไทยอยู่ทางตอนใต้ของจีนได้ค้นคว้าจากเอกสารทั้งไทยและต่างประเทศ  เมื่อประมาณปี พ.ศ.2441  ได้เรียบเรียงลงในหนังสือ
วชิรญาณ  เรื่องพงศาวดารโยนก
ข้อสรุปของแนวคิดที่ 3 
          แนวคิดที่ 3 เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของคนไทยอยู่กระจัดกระจายทั่วไป  ในบริเวณทางตอนใต้ของจีนและทางตอนเหนือของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตลอดบริเวณรัฐอัสสัมของอินเดีย
 
แนวคิดที่ 4 เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่บริเวณดินแดนประเทศไทย

แนวคิด
ผู้เสนอแนวคิด
ถิ่นฐานเดิมและการอพยพ
หลักฐานที่ใช้ในการศึกษา
ถิ่นกำเนิดของ
ชนชาติไทยอยู่บริเวณดินแดนประเทศไทย
1. พอล เบเนดิกต์
(Paul  Benedict) นักวิชาการชาวสหรัฐอเมริกา
ชนชาติไทยน่าจะอยู่ในดินแดนประเทศไทยปัจจุบันในราว 4,000 – 3,000 ปีมาแล้ว จากนั้นมีพวกตระกูลมอญ เขมร อพยพมาจากอินเดียเข้าสู่แหลมอินโดจีนได้ผลักดันให้คนไทยกระจัดกระจายไปหลายทาง โดยกลุ่มหนึ่งอพยพไปทางตอนใต้ของจีนในปัจจุบัน ต่อมาถูกจีนผลักดันจึงถอยร่นลงไปอยู่ในเขตอัสสัม ฉาน ลาว ไทย ตังเกี๋ย ดังนั้นจึงมีกลุ่มชนที่พูดภาษาไทยกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปค้นคว้าโดยอาศัยหลักฐานทางภาษาศาสตร์ โดยเชื่อว่า ผู้คนที่อยู่บริเวณคาบสมุทรอินโดจีนย่อมมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน โดยยอมรับว่าภาษาไทยเป็นภาษาที่ใหญ่ ภาษาหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
2. ศาสตราจารย์นายแพทย์สุด
แสงวิเชียร ผู้เชี่ยวชาญด้าน
กายวิภาคศาสตร์
ดินแดนประเทศไทยน่าจะเป็นที่อยู่ของบรรพบุรุษคนไทยมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์หนังสือเรื่อง                         “ก่อนประวัติศาสตร์ของประเทศไทย” โดยศึกษาเปรียบเทียบโครงกระดูกของมนุษย์ยุคหินใหม่จำนวน 37 โครงที่คณะสำรวจไทย – เดนมาร์ก   ขุดพบบริเวณแม่น้ำแคว  ในจังหวัดกาญจนบุรี      ผลการศึกษาพบว่า      โครงกระดูกมนุษย์ของ   ยุคหินใหม่ มีลักษณะเหมือนโครงกระดูกของ คนไทยในปัจจุบัน
แนวคิด
ผู้เสนอแนวคิด
ถิ่นฐานเดิมและการอพยพ
หลักฐานที่ใช้ในการศึกษา
3. ศาตราจารย์ชิน อยู่ดี  ผู้เชี่ยวชาญ ทางโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยพื้นที่ซึ่งเป็นดินแดนประเทศไทยในปัจจุบันมีร่องรอยของผู้คนอาศัยอยู่มาตั้งแต่ยุค
หินเก่า ยุคหินกลาง ยุคหินใหม่ ยุคโลหะและเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ เนื่องจากแต่ละ  ยุคได้แสดงความสืบเนื่องทางวัฒนธรรมของคนไทยจนถึงปัจจุบัน เช่น  ประเพณีการ          ฝังศพ  เครื่องใช้เกี่ยวกับการเกษตร
จากการศึกษาทางด้านโบราณคดีโดยเฉพาะ     ทางโบราณคดีสมัย       ก่อนประวัติศาสตร์
ข้อสรุปของแนวคิดที่ 4 
เนื่องจากนักวิชาการกลุ่มนี้ มักอาศัยหลักฐานทางโบราณคดีเป็นหลักในการพิสูจน์แนวคิดของตนเอง ดังนั้นข้อสันนิษฐานของนักวิชาการกลุ่มนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับจากนักวิชาการในปัจจุบันมากนัก แนวคิดนี้ยังต้องอาศัยการค้นคว้าด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อหาข้อสรุปต่อไป

แผนที่แสดงแนวคิดถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่ในประเทศไทย 
ที่มาภาพ นางพีรทิพย์   สุคันธเมศวร์

แนวคิดที่ 5 เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่บริเวณคาบสมุทรอินโดจีนหรือคาบสมุทรมลายู
                      และหมู่เกาะต่าง ๆ ในอินโดนีเซีย

แนวคิด
ผู้เสนอแนวคิด
ถิ่นฐานเดิมและการอพยพ
หลักฐานที่ใช้ในการศึกษา
ถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่บริเวณคาบสมุทร
อินโดจีนหรือคาบสมุทรมลายู และหมู่เกาะต่าง ๆ ในอินโดนีเซีย
นักวิชาการทางการแพทย์โดย นายแพทย์สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ
นายแพทย์ประเวศ
วะสี  คณะนักวิจัย ด้านพันธุศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น
จากผลงานการวิจัยทาง     พันธุศาสตร์ของนายแพทย์สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ เกี่ยวกับหมู่เลือด ลักษณะและความถี่ของยีน พบว่าหมู่เลือดของ คนไทยมีความคล้ายคลึงกับคนชาวเกาะชวา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้มากกว่าของคนจีนที่อยู่ทางตอนเหนือรวมทั้ง ลักษณะความถี่ของยีนระหว่างคนไทยกับคนจีน
ก็มีความแตกต่างกันและ    จากผลงานการวิจัยเรื่องฮีโมโกลบิน อี ของนายแพทย์ประเวศ วะสี พบว่า ฮีโมโกลบิน อี พบมากในผู้คนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือไทย เขมร มอญ ปรากฏว่าฮีโมโกลบิน อี    แทบจะไม่มีในหมู่คนจีน
1. ผลงานการวิจัยทาง   พันธุศาสตร์ของนายแพทย์สมศักดิ์   พันธุ์สมบุญ เกี่ยวกับหมู่เลือดลักษณะและจำนวนของยีน
2. ผลงานการวิจัยเรื่องฮีโมโกลบิน อี ของนายแพทย์ประเวศ  วะสี
ข้อสรุปของแนวคิดที่ 5 
                ชนชาติไทยน่าจะมีถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณคาบสมุทรอินโดจีน หรือคาบสมุทรมลายูและ       หมู่เกาะต่าง ๆ ในอินโดนีเซีย แต่แนวคิดนี้ปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน และยังไม่เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการที่ค้นคว้าเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย
แผนที่แสดงแนวคิดถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่ในคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะอินโดนีเซีย 
ที่มาภาพ นางพีรทิพย์  สุคันธแมศวร์

วิธีทางประวัติศาสตร์

วิธีทางประวัติศาสตร์

วิธีการทางประวัติศาสตร์
                การศึกษาประวัติศาสตร์มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ กาลเวลาและนักประวัติศาสตร์ ดังนั้นจำเป็นต้องมีวิธีการในการรวบรวมค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์หาเหตุผล และข้อสรุป ซึ่งจะเป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด โดยวิธีการทางประวัติศาสตร์ประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้
 
                ขั้นตอนที่ 1  การตั้งประเด็นที่จะศึกษา นับว่าเป็นขั้นตอนแรกของวิธีการทางประวัติศาสตร์ที่ นักประวัติศาสตร์ หรือผู้สนใจทางประวัติศาสตร์มีความสนใจอยากรู้ เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ตอนใดตอนหนึ่ง โดยตั้งประเด็นคำถามว่า ศึกษาเรื่องอะไรในช่วงเวลาใด ทำไมจึงต้องศึกษา
                ขั้นตอนที่ 2  สืบค้นและรวบรวมข้อมูล ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ คือ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สามารถสอบสวนเข้าไปให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้ ประกอบด้วยหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุ คำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์ และหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น ศิลาจารึก จดหมายเหตุ บันทึกและเอกสารต่างๆ ในการสะสม และรวบรวมข้อมูล ต่าง ๆ เหล่านี้ นักประวัติศาสตร์จำเป็นต้องใช้วิจารณญาณของตนสำรวจ เนื่องจากข้อมูลแต่ละประเภทเป็นผลิตผลที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นโดยมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นต้องค้นหาต้นตอหรือสาเหตุของข้อมูลอย่างลึกซึ้งเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันมิให้ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ถูกบิดเบือน
                ขั้นตอนที่ 3  การวิเคราะห์และตีความข้อมูลทางประวัติศาสตร์ โดยการนำข้อมูลที่ได้สืบค้นรวบรวม คัดเลือก และประเมินไว้แล้วนำมาพิจารณาในรายละเอียดทุกด้าน ซึ่ง                     นักประวัติศาสตร์ต้องใช้เหตุผลเป็นแนวทางในการตีความเพื่อนำไปสู่การค้นพบข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง
                ขั้นตอนที่ 4  การคัดเลือกและประเมินข้อมูล นักประวัติศาสตร์จะต้องนำข้อมูลที่ได้รวบรวมไว้มาคัดเลือก และประเมินเพื่อค้นหาความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ต้องการทราบ
                                ขั้นตอนที่ 5  การเรียบเรียงรายงานข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับอันเป็นผลมาจากการวิเคราะห์และการตีความข้อมูล  หรืออธิบายข้อสงสัย  เพื่อนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่เป็นการตอบ ตลอดจนความรู้  ความคิดใหม่ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าในรูปแบบการรายงานอย่างมีเหตุผล

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

การเเบ่งยุคสมัย

การเเบ่งยุคสมัย

หลักฐานทางประวัติศาสตร์
    แหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ในการศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยแต่ละยุคสมัยอาจจำแนกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
  1. หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ หลักฐานที่เป็นตัวหนังสือโดยมนุษย์ได้ทิ้งร่องรอยขีดเขียนเป็นตัวหนังสือประเภทต่างๆ ในรูปของการจารึกในศิลาจารึกและการจารึกบนแผ่นโลหะ นอกจากนี้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรประเภทอื่น เช่น พงศาวดาร จดหมายเหตุ ตำนาน และกฎหมาย
  2. หลักฐานที่เป็นวัตถุ ได้แก่ วัตถุที่มนุษย์แต่ละยุคแต่ละสมัยได้สร้างขึ้น และตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน เช่น โบราณสถาน ประกอบด้วย วัด เจดีย์ มณฑป และโบราณวัตถุ ประกอบด้วย พระพุทธรูป ถ้วยชามสังคโลก
      การแบ่งลำดับความสำคัญของหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็น 2 ประเภท คือ
  1. หลักฐานชั้นต้นหรือหลักฐานปฐมภูมิ เป็นหลักฐานที่มาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นจริงๆ โดยมีการบันทึกของผู้ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์โดยตรง หรือผู้ที่รู้เหตุการณ์นั้นด้วยตนเอง  ดังนั้นหลักฐานช่วงต้น  จึงเป็นหลักฐานที่มีความสำคัญและน่าเชื่อถือมากที่สุด  เพราะบันทึกของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือผู้อยู่ในเหตุการณ์บันทึกไว้  เช่น  จดมายเหตุ คำสัมภาษณ์  เอกสารทางราชการ  บันทึกความทรงจำ  กฎหมาย  หนังสือพิมพ์  ภาพยนตร์  สไลด์  วีดิทัศน์       แถบบันทึกเสียง โบราณสถาน  แหล่งโบราณคดี  โบราณวัตถุ
  2. หลักฐานชั้นรองหรือหลักฐานทุติยภูมิ เป็นหลักฐานที่เขียนขึ้นโดยบุคคลที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นโดยตรง โดยมีการเรียบเรียงขึ้นภายหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นๆ ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของบทความทางวิชาการและหนังสือต่างๆ เช่น พงศาวดาร ตำนาน บันทึกคำบอกเล่า ผลงานทางการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการ  สำหรับหลักฐานชั้นรองนั้นมีข้อดี   คือ  มีความสะดวกและง่ายในการศึกษาทำความเข้าใจ  เนื่องจากเป็นข้อมูลได้ผ่านการศึกษาค้นคว้า  ตรวจสอบข้อมูล  วิเคราะห์เหตุการณ์และอธิบายไว้อย่างเป็นระบบ  โดยนักประวัติศาสตร์มาแล้ว
ลักษณะสำคัญของหลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในประเทศไทย มีอยู่หลายลักษณะ อาจแบ่งลักษณะสำคัญของหลักฐานออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. หลักฐานที่ไม่ใช่ลายลักษณ์อักษร ได้แก่
1.1 โบราณสถาน หมายถึง สิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ขนาดต่างๆกัน อยู่ติดกับ
พื้นดินไม่อาจนำเคลื่อนที่ไปได้ เช่น กำแพงเมือง คูเมือง วัง วัด ตลอดจนสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในวัด
และวัง เช่น โบสถ์ วิหาร เจดีย์ และที่อยู่อาศัย
การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโบราณสถาน จำเป็นต้องเดินทางไปยังสถานที่ตั้งของโบราณสถานนั้นๆ
 
                                     ปราสาทหินพิมาย                                                  ปราสาทหินพนมรุ้ง
ที่มาภาพ  http://www.thaigoodview.com/files/u1300/pimai.jpg      ที่มาภาพ : http://www.kodhit.comimages/stories/travel/
norteast/phasadkhow/12.jpg
1.2 โบราณวัตถุ หมายถึง สิ่งของโบราณที่มีลักษณะต่างๆกัน สามารถนำติดตัว
เคลื่อนย้ายได้ ไม่ว่าสิ่งของนั้นๆ จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ  เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น หรือเป็น  ส่วนหนึ่งส่วนใดของโบราณสถาน และสิ่งของที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นเหล่านี้เกิดขึ้นในสมัยประวัติศาสตร์ เช่น พระพุทธรูป เทวรูป รูปเคารพต่างๆ เครื่องประดับ และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ
               การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโบราณวัตถุ ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังสถานที่ทางประวัติศาสตร์เสมอไป และสามารถไปศึกษาได้จากแหล่งรวบรวมทั้งของราชการ เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
                 
                   เครื่องปั้นดินเผาในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง                    หม้อบ้านเชียง
ที่มาภาพ : http://www.thaitourzone.com/eastnorth/udon/museum.JPG       ที่มาภาพ : http://gaprobot.spaces.live.com/
blog/cns!EDF1593B634FDF0!319.entry
2. หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่
                2.1 จารึก ในแง่ของภาษาแล้วมีคำอยู่ 2 คำที่คล้ายคลึงและเกี่ยวกับข้องกัน คือ
คำว่า จาร และจารึก
คำว่า จาร แปลว่า เขียนอักษรด้วยเหล็กแหลมลงบนใบลาน
คำว่า จารึก แปลว่า เขียนเป็นรอยลึกลงบนแผ่นศิลาหรือโลหะ
                ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คำว่า จารึก หมายรวมถึง หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งใช้วิธีเขียนเป็นรอยลึก ถ้าเขียนเป็นรอยลึกลงบนแผ่นหิน เรียกว่า ศิลาจารึก เช่น ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 จารึกพ่อขุนรามคำแหง ถ้าเขียนลงบนวัสดุอื่นๆ เช่น แผ่นอิฐ เรียกว่า จารึกบนแผ่นอิฐ แผ่นดีบุก เรียกว่า จารึกบนแผ่นดีบุก และการจารึกบนใบลาน
                นอกจากนี้ยังมีการจารึกไว้บนปูชนียสถานและปูชนียวัตถุต่างๆ โดยเรียกไปตามลักษณะของจารึกปูชนียวัตถุสถานนั้นๆ เช่น จารึกบนฐานพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย สมัยลพบุรี
จารึกบนฐานพระพุทธรูป วัดป่าข่อย จังหวัดลพบุรี 
ที่มาภาพ : http://pirun.kps.ku.ac.th/~b4927046/mon4_5_clip_image001_0000.jpg
 
 จารึกวัดโพธิ์ จังหวัดนครปฐม 
ที่มาภาพ : http://www.openbase.in.th/files/u10/monstudies035.jpg
                เรื่องราวที่จารึกไว้บนวัสดุต่างๆ ที่พบในดินแดนประเทศไทย ส่วนมากจะเป็นเรื่องราวของพระมหากษัตริย์และศาสนา จารึกเหล่านี้มีทั้งที่เป็นตัวอักษร ภาษาไทย ภาษาขอม ภาษามอญ       ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤต จารึกที่ค้นพบในประเทศไทยมีอยู่จำนวนมาก เช่น จารึกสมัย    ทวารวดี จารึกศรีวิชัย จารึกหริภุญชัย  และจารึกสุโขทัย
 
ศิลาจารึกหลักที่ 1 จารึกพ่อขุนรามคำแหง
ที่มาภาพ http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/nongkhai/thanagorn_n/plan_history/image/pic1130704120859.jpg
                                2.2 เอกสารพื้นเมือง เอกสารพื้นเมืองนับได้ว่าเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่สำคัญของประเทศไทย มักปรากฏในรูปหนังสือสมุดไทย และเรียกชื่อแตกต่างกันออกไป เช่น ตำนาน พงศาวดาร จดหมายเหตุ ดังมีรายละเอียด ดังนี้
1) ตำนาน เป็นเรื่องที่เล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต เล่าสืบต่อกันมาแต่โบราณจนหาจุดกำเนิดไม่ได้ แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นคนเล่าเรื่องราวเป็นคนแรก สิ่งที่พอจะรู้ได้ก็คือ มีการเล่าเรื่องสืบต่อกันมาเป็นเวลานานพอสมควร จนกระทั่งมีผู้รู้หนังสือได้จดจำและบันทึกลงเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อมาจึงมีการคัดลอกตำนานเหล่านั้นเป็นทอดๆไปหลายครั้ง หลายครา ทำให้เกิดมีข้อความคลาดเคลื่อนไปเรื่อย ๆ ดังนั้น  เรื่องที่ปรากฏอยู่ในตำนานจึงอาจถูกเปลี่ยนแปลงไปจากเรื่องเดิม  เนื้อเรื่องของตำนาน ส่วนมากเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมืองหรือชุมชนสมัยดั้งเดิมเกี่ยวกับปูชนียสถานและปูชนียวัตถุ หรือเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคลสำคัญ เช่น พระมหากษัตริย์ วีรบุรุษ โดยสามารถจัดประเภทของตำนานไทยได้ 3 ลักษณะ คือ
1.1) ตำนานในรูปของนิทานพื้นบ้าน เช่น เรื่องพญากง พญาพาน ท้าวแสนปม
1.2) ตำนานในรูปของการบันทึกประวัติของพระพุทธศาสนา จุดมุ่งหมายเพื่อรักษาศรัทธา ความเชื่อ สัญลักษณ์ของพุทธศาสนา เช่น ตำนานพระแก้วมรกต
1.3) ตำนานในรูปของการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมือง ราชวงศ์ กษัตริย์ และเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับมนุษย์และสัตว์ในอดีต เช่น ตำนานสิงหนวัติกุมาร
ตำนานจามเทวีวงศ์  ตำนานมูลศาสนา ตำนานชินกาลมาลีปกรณ์
                                       2) พงศาวดาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสให้ความหมายของพงศาวดารว่าหมายถึง เรื่องราวที่เกี่ยวกับพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งสืบสันติวงศ์ลงมาถึงเวลาที่เขียนนั้น แต่ต่อมามีการกำหนดความหมายของพงศาวดารให้กว้างออกไปอีกว่าหมายถึง การบันทึกเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับอาณาจักรและกษัตริย์ที่ปกครองอาณาจักร   พงศาวดารจึงมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีจวบจนกระทั่งสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 4) สามารถจำแนกพงศาวดารได้ 2 ลักษณะคือ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาและพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น พงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐ   พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1-4 ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษธิบดี (ขำ บุนนาค) 
อย่างไรก็ตามแม้ว่าหลักฐานประเภทพงศาวดารจะมีข้อบกพร่องอยู่มาก แต่ก็เป็นหลักฐานที่มีประโยชน์ในการศึกษาประวัติศาสตร์
 
                                      พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์         พงศาวดารสกลรัชกาลที่ 2                                                                                                   ที่มาภาพ : http://kanchanapisek.or.th/kp8/
ที่มาภาพ : http://j.static.fsanook.com/category/2008/                                                       culture/sgk/pic/sum1.gif
07/16/5/b/4047205_1.jpg
                                 3) จดหมายเหตุ ในสมัยโบราณจดหมายเหตุ หมายถึง การจดบันทึกข่าวคราวหรือเหตุการณ์เรื่องหนึ่งๆ ที่เกิดขึ้นในวัน เดือน ปีนั้นๆ แต่ในปัจจุบันนี้ความหมายของคำว่า        จดหมายเหตุได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หมายถึง เอกสารทางราชการทั้งหมด เมื่อถึงสิ้นปีจะต้องนำชิ้นที่ไม่ใช้แล้วไปรวบรวมเก็บรักษาไว้ที่กองจดหมายเหตุแห่งชาติ มีคุณค่าด้านการค้นคว้าอ้างอิงและเอกสารเหล่านี้ เมื่อมีอายุตั้งแต่ 25-50 ปีไปแล้วจึงเรียกว่า จดหมายเหตุหรือบรรณสาร การบันทึกจดหมายเหตุของไทยในสมัยโบราณ   ส่วนมากบันทึกโดยผู้ที่รู้หนังสือและรู้ฤกษ์ยามดี โดยมีการบันทึกวัน เดือน ปี และฤกษ์ยามลงก่อนจึงจะจดเหตุการณ์ที่เห็นว่าสำคัญลงไว้ โดยมากจะจดในวัน เวลา ที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น หรือในวัน เวลา ที่ใกล้เคียงกันกับที่ผู้จดบันทึกได้พบเห็นเหตุการณ์นั้นๆ ด้วยเหตุนี้ เอกสารประเภทนี้จึงมักมีความถูกต้องในเรื่องวัน เดือน ปี มากกว่าหนังสืออื่นๆ เช่น จดหมายเหตุของหลวง เป็นจดหมายเหตุที่ทางฝ่ายบ้านเมืองได้บันทึกไว้เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์และบ้านเมือง จดหมายเหตุโหร เป็นเอกสารที่เกิดขึ้นเนื่องจากโหรซึ่งเป็นผู้ที่รู้หนังสือและฤกษ์ยามจดไว้ตลอดทั้งปี และมีที่ว่างไว้สำหรับใช้จดหมายเหตุต่างๆ ลงในปฏิทินนั้น เหตุการณ์ที่โหรจดไว้ โดยมากเป็นเหตุการณ์เกี่ยวกับดวงดาว
 
 จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ 
ที่มาภาพ : http://www.thaispecial.com/bookimages/ ที่มาภาพ : http:// upload.wikimedia.org/wikipedia /
9749353323/cover1.jpg                                          commons/thumb/1/1d/La_Loubere_Kingdom
_of_Siam.jpg/332px-La_Loubere_Kingdom_of_Siam.jpg

       สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช . (2547) . เอกสารการสอนชุดประวัติศาสตร์สังคมและการเมืองไทย           . หน้า 11 – 12.  
       สุจิตต์  วงษ์เทศ และคณะ . (2537) . หนังสือคู่มือครูสังคมศึกษารายวิชา ส 021 หลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย   .หน้า 15 – 16.  
       สุจิตต์  วงษ์เทศ และคณะ . (2537) .หนังสือคู่มือครูสังคมศึกษารายวิชา ส 021 หลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย   . หน้า 17 – 18 .
       สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ. (2518) .ความทรงจำ พระนคร .หน้า 122.
       ดำรงราชานุภาพ , สมเด็จฯกรมพระยา. (2505). ตำนานหนังสือพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาคต้น        . หน้า 8 – 9.

สมัยสุโขทัย

สมัยสุโขทัย


ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ในช่วงเวลาเดียวกับยุคสมัยอาณาจักรล้านนารุ่งเรืองทางตอนเหนือ ชาวไทยกลุ่มหนึ่งซึ่งเข้ามาอยู่ในดินแดนของขอม ได้รวมตัวกันและสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้นเป็นอิสระจากขอม ภายใต้การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีพระร่วงเจ้า หรือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นกษัตริย์พระองค์แรก มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่กรุงสุโขทัย หรือจังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน
พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยทรงปกครองประเทศด้วยพระองค์เอง โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้ช่วยเหลือ รูปแบบการปกครองในสมัยนั้นอาจจำแนกออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
การปกครองส่วนกลาง ได้แก่ เมืองหลวง และเมืองลูกหลวง หรือเมืองหน้าด่าน ที่อยู่รายล้อมเมืองหลวงทั้ง 4 ทิศ ประกอบด้วย เมืองศรีสัชนาลัย (สวรรคโลก) ทางทิศเหนือ เมืองสองแคว (พิษณุโลก) ทางทิศตะวันออก เมืองสระหลวง (พิจิตร) ทางทิศใต้ และเมืองกำแพงเพชร (ชากังราว) ทางทิศตะวันตก
การปกครองหัวเมือง หรือเมืองที่อยู่นอกอาณาเขตเมืองลูกหลวง แบ่งเป็นหัวเมืองชั้นนอกและหัวเมืองประเทศราช
อาณาจักรสุโขทัยมีกษัตริย์ปกครองสืบต่อมาอีกหลายพระองค์ และขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ผู้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเป็นครั้งแรกในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของอาณาจักร พระองค์ได้รวบรวมหัวเมืองต่างๆ เข้าไว้ในปกครองมากมาย จนยากที่จะปกครองได้อย่างทั่วถึง ต่อมาจึงประสบปัญหาทั้งจากภายนอกและภายใน และค่อยๆ ตกต่ำลงจนถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาไปในที่สุด

ยุคเริ่มแรก

ยุคเริ่มแรก


จากหลักฐานทางโบราณคดีซึ่งค้นพบในพื้นที่หลายแห่งของประเทศ ทำให้เชื่อได้ว่าบริเวณที่เป็นประไทยในปัจจุบันนี้ มีมนุษย์อาศัยอยู่เป็นชุมชนตั้งแต่เมื่อเกือบ 6 พันปีที่แล้ว โดยชนชาติที่ครอบครองดินแดนแห่งนี้ในยุคแรกๆ คือ ชาวละว้าและชาวป่าชาวเขาในตระกูลมอญและขอมโบราณ ได้ก่อตั้งอาณาจักรลพบุรีขึ้น ณ บริเวณที่ตั้งของจังหวัดลพบุรีในปัจจุบัน
จนถึงประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-13 มีอาณาจักรต่างๆ ที่ครอบครองดินแดนในแถบนี้ในเวลาต่อมาอีก ได้แก่ อาณาจักรขอม ครอบครองดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงและแม่น้ำมูนทางตะวันออก มีเมืองหลวงอยู่ที่นครวัด ในราชอาณาจักรกัมพูชาในปัจจุบัน อาณาจักรทวารวดีของชนชาติมอญ ครอบครองพื้นที่ทางตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาลงไปถึงตอนเหนือของคาบสมุทรมลายา โดยมีเมืองศูนย์กลางอยู่ที่นครปฐม อาณาจักรศรีวิชัยของชาวมลายู อยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรมลายา
ในระหว่างนั้นชนชาติไทยโบราณที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ได้อพยพโยกย้ายลงมาตั้งอาณาจักรน่านเจ้าขึ้นในบริเวณมณฑลยูนนาน ในเขตสิบสองปันนา ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ก่อนจะถูกรุกรานจากชนชาติจีนซึ่งเข้มแข็งกว่า แล้วเดินทางถอยลงมาทางใต้ตามแนวแม่น้ำโขง ในดินแดนคาบสมุทรอินโดจีน เพื่อหาพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์กว่าเดิมสำหรับทำอาชีพกสิกรรม และตั้งอาณาจักรขึ้นใหม่หลายแห่งในดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน ซึ่งขณะนั้นยังอยู่ในความครอบครองของชนชาติขอม
ประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ 13 ได้ปรากฏอาณาจักรล้านนาขึ้นบนฝั่งแม่น้ำโขง ในบริเวณที่ตั้งของอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ในปัจจุบัน และอาณาจักรล้านช้าง อันเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงพระบางของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปัจจุบัน

ความหมาย

ความหมาย
ประวัติศาสตร์" เป็นคำที่มีความหมายหลากหลาย แต่ความหมายที่สำคัญที่ใช้โดยทั่วไปคือ 1) เหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดของมนุษย์ หรืออดีตทั้งหมดของมนุษย์ตั้งแต่มีมนุษย์เกิดขึ้นมาในโลกจนถึงวินาทีที่พึ่งผ่านมา และ 2) หมายถึงเรื่องราวของบางเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตที่เรารู้หรือเข้าใจ นั่นคือสิ่งที่นักประวัติศาสตร์สร้างขึ้นมาเกี่ยวกับอดีตที่ผ่านพ้นไป[ต้องการอ้างอิง]
นักปรัชญาประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงให้คำอธิบายถึงคำว่า "ประวัติศาสตร์" ไว้ เช่น
อาร์. จี. คอลลิงวูด (R. G. Collingwood) อธิบายว่าประวัติศาสตร์คือวิธีการวิจัยหรือการไต่สวน ... โดยมีจุดมุ่งหมายจะศึกษาเกี่ยวกับ ... พฤติการณ์ของมนุษยชาติที่เกิดขึ้นในอดีต
อี. เอช. คาร์ (E. H. Carr) อธิบายว่าประวัติศาสตร์นั้นก็คือกระบวนการอันต่อเนื่องของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักประวัติศาสตร์กับข้อมูลของเขา ประวัติศาสตร์คือบทสนทนาอันไม่มีที่สิ้นสุดระหว่างปัจจุบันกับอดีต[9] (a continuous process of interaction between the present and the past.)
ส่วน ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล นักประวัติศาสตร์ อธิบายคำว่าประวัติศาสตร์ดังนี้ "การเข้าใจอดีตนั้นคือประวัติศาสตร์ ... เราต้องเข้าใจว่าความรู้เกี่ยวกับอดีตนั้นสร้างใหม่ได้เรื่อย ๆ เพราะทัศนะมุมมองของสมัยที่เขียนประวัติศาสตร์นั้นเปลี่ยนอยู่เสมอ ..."[ต้องการอ้างอิง]

ประวัติศาสตร์ไทย

ประวัติศาสตร์ไทย


การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยมักเริ่มนับตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยเป็นต้นมา หากแต่ในอาณาเขตประเทศไทยปัจจุบัน พบหลักฐานของมนุษย์ซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดถึงห้าแสนปี[1] ตลอดจนหลักฐานของอารยธรรมและรัฐโบราณเป็นจำนวนมาก
ภูมิภาคสุวรรณภูมิเคยถูกชาวมอญ เขมรและมาเลย์ปกครองมาก่อน ต่อมา คนไทยได้สถาปนาอาณาจักรของตนเอง เช่น อาณาจักรสุโขทัย ไล่เลี่ยกันกับอาณาจักรล้านนาอาณาจักรเชียงแสน และอาณาจักรอยุธยา อาณาจักรสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองในช่วงเวลาค่อนข้างสั้นประมาณ 200 ปี ก็ถูกผนวกรวมกับอาณาจักรอยุธยา
อาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมั่งคั่ง เป็นศูนย์กลางการค้าระดับนานาชาติสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิรูปการปกครอง ซึ่งบางส่วนใช้สืบมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และยังทรงตราพระราชกำหนดศักดินา ทำให้อยุธยาเป็นสังคมศักดินา อยุธยาเริ่มติดต่อกับชาติตะวันตกเมื่อ พ.ศ. 2054 หลังโปรตุเกสยึดครองมะละกา หลังจากนั้นใน พ.ศ. 2112 กรุงศรีอยุธยาตกเป็นประเทศราชของราชวงศ์ตองอูแห่งพม่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพในอีก 15 ปีให้หลัง อาณาจักรอยุธยาเจริญถึงขีดสุดหลังจากนั้น ทั้งความสัมพันธ์กับต่างประเทศก็รุ่งเรืองมากในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมลง จนล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิงใน พ.ศ. 2310
พระยาตากได้รวบรวมไพร่พลกอบกู้เอกราช และย้ายราชธานีมายังกรุงธนบุรี รัชสมัยของพระองค์ถือเป็นช่วงเวลาของการทำสงครามและการฟื้นฟูความเจริญของชาติ อาณาจักรธนบุรีมีพระมหากษัตริย์ปกครองพระองค์เดียว กินระยะเวลาเพียง 15 ปี แล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 กรุงรัตนโกสินทร์ยังเผชิญกับภัยคุกคามจากประเทศเพื่อนบ้าน กระทั่งรัชกาลที่ 4
การลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริง ทำให้ชาติตะวันตกหลายชาติเข้ามาทำสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมอีกหลายฉบับ ต่อมา แม้จะมีการยกดินแดนให้ฝรั่งเศสและอังกฤษหลายครั้งแต่สยามไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก กุศโลบายของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้ไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตรอันทำให้สยามได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ และนำมาซึ่งการแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมทั้งหลาย
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตย ทำให้คณะราษฎรเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยได้ลงนามเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่น แต่ในช่วงสงครามเย็นประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา มีนโยบายต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค
หลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยยังถือได้ว่าอยู่ในระบอบเผด็จการในทางปฏิบัติอยู่หลายทศวรรษ ประเทศไทยประสบกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และมีการสืบทอดอำนาจรัฐบาลทหารผ่านรัฐประหารหลายสิบครั้ง อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นได้มีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยครั้งสำคัญในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ประชาธิปไตยในประเทศเริ่มมีความมั่นคงยิ่งขึ้น